Wednesday, July 15, 2015

สุดยอดสิ่งปลูกสร้างบนเขา(Cliff Dwellers)

ศ.ดร. ปิติ สุคนธสุขกุล(ตีพิมพ์ในนิตยสารคู่บ้าน)


ถ้าท่านผู้อ่านสังเกตุให้ดีก็จะทราบว่าเนื้อหาในฉบับนี้จะเน้นในเรื่องของการอยู่หรือการปลูกสร้างบ้านบนที่สูง เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งอาจจะทำให้หลายคนอยากมีที่อยู่หรือบ้านบนพื้นที่สูง เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาน้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในความเป็นจริง นอกเหนือจากการต้องการหลบหนีภัยธรรมชาติแล้ว การก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างบนที่สูง (หรือสูงมากๆจนไม่น่าเชื่อว่าสร้างได้อย่างไร) มีเหตุผลประกอบหลายประการ          นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มนุษย์มีความต้องการในการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยบนพื้นที่สูงมาโดยตลอด สาเหตุนั้นมีหลายประการขึ้นอยู่กับลักษณะของอาคารและสภาพภูมิประเทศในแถบนั้นๆ อาทิเช่น ถ้าเป็นอาคารพวกโบสถ์หรือวัดที่ปลูกสร้างบนภูเขาหรือหน้าผาสูงชันอาจจะเป็นเพราะต้องการปลีกวิเวกหรือความสันโดษห่างไกลจากปัญหา อีกทั้งการมีวัดอยู่ในที่สูงก็ให้ความรู้สึกของการเข้าใกล้พระเจ้าหรือสวรรค์มากขึ้น ถ้าเป็นปราสาทราชวังเหตุผลน่าจะเป็นทางด้านความมั่นคงปลอดภัย เนื่องจากปราสาทที่ตั้งบนพื้นที่สูงสามารถป้องกันได้ง่ายและยากสำหรับข้าศึกที่จะเข้าโจมตี 

ในบทความนี้ ผมจะขอนำผู้อ่านไปพบกับสิ่งปลูกสร้างที่ถือว่าเป็นสุดยอดแห่งสิ่งปลูกสร้างบนเขา ซึ่งมีทั้งบ้านเรือนธรรมดา โบสถ์ และ ปราสาท ที่ทำการปลูกสร้างบนเขาหรือหน้าผาที่สูงชันและที่มีความมหัศจรรย์เกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ว่าอาคารเหล่านี้ก่อสร้างได้อย่างไรในสมัยโบราณที่ไม่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน

อาคารหลังแรกที่นำมาให้ดูกันคือ ปราสาท Swallow Nest ในประเทศยูเครน (รูปที่ 1) ซึ่งก่อสร้างในปี คศ.1911-12 ออกแบบโดยสถาปนิกชาวรัสเซียชื่อว่า Leonid Sherwood ปราสาทนี้ตั้งอยู่บนหน้าผา Aurora สูง 130 ฟุต ริมทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงแรกปราสาทนี้ก่อสร้างด้วยไม้ในปี 1895 โดยใช้ชื่อว่า ปราสาทแห่งรัก (Castle of Love) ต่อมาถูกรื้อออกและก่อสร้างด้วยคอนกรีตอย่างที่เห็นในปัจจุบัน (รูปที่ 1) ปราสาท Swallow Nest รอดพ้นภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหวสูงถึง 7 ริกเตอร์มาแล้วในปี คศ.1927 [1]



อาคารต่อมาเป็นอาคารกลุ่มของโบสถ์ Eastern Orthodox ในประเทศกรีซ ที่ชื่อว่า The Metéora (รูปที่ 2) ซึ่งเป็นภาษากรีซแปลว่าแขวนอยู่กลางอากาศ (suspended in the air) หรือ สวรรค์อยู่ด้านบน (in the heavens above) โบสถ์นี้ประกอบไปด้วยโบสถ์น้อยใหญ่ 6 หลัง ระยะเวลาเริ่มก่อสร้างไปปรากฎแน่ชัด แต่คาดว่าน่าจะอยู่ในช่วงปลายศตวรรษที่ 11 เนื่องจากความยากในการเข้าถึงโบสถ์เหล่านี้ โดยต้องอาศัยการปีนขึ้นเพียงอย่างเดียว จึงทำให้ที่นี่ถูกใช้เป็นที่ปลีกวิเวกเพื่อบำเพ็ญเพียรหรือให้เป็นที่หลบหนีจากการรุกรานของพระมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13-15 โดยศตวรรษที่ 14 ถือเป็นช่วงที่รุ่งเรืองที่สุดมีการก่อสร้างโบสถ์มากถึง 20 หลัง แต่ปัจจุบันเหลือเพียงแค่ 6 หลัง ความยากของการก่อสร้างอยู่ที่การขนส่งวัสดุก่อสร้างที่ต้องมีการชักรากวัสดุในแนวดิ่งที่มีระดับความสูงเฉลี่ยจากพื้นราบถึง 313 ม.[2]


สิ่งปลูกสร้างที่สามเป็นกลุ่มของวัดที่สร้างบนหน้าผาสูงชัน โดยวัดแห่งนี้ชื่อว่า Phuktal Monastery [3] ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดียติดกับธิเบต โดยคำว่า Phuktal หมายถึงหน้าผา ลักษณะของการก่อสร้างจะเป็นการขุดเข้าไปในหน้าผา โดยส่วนที่เป็นอาคารเป็นการปลูกสร้างด้วยไม้ฉาบด้วยดินเหนียว โดยรวมลักษณะภายนอกของวัดดูเหมือนรังผึ้งขนาดใหญ่ ปัจจุบันยังคงมีพระธิเบตพำนักอยู่ประมาณ 70 รูป ภายในวัดมีทั้งห้องสมุด ห้องสวดมนต์ และบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสามารถในการรักษาโรคได้ [3]


หลังที่ 4 เป็นบ้านที่มีชื่อเสียงของเมือง Cuenca ประเทศสเปน เรียกว่าบ้านแขวนแห่งเมือง Cuenca ที่มีชื่อเรียกว่า Las Casas Colgadas (Hanging House) (รูปที่ 4) ซึ่งสร้างอยู่บนหน้าผาหินเหนือแม่น้ำ Huecar ในช่วงศตวรรษที่ 15 ลักษณะเด่นของบ้านหลังนี้คือมีระเบียงที่ยื่นออกมาจากหน้าผา ปัจจุบันบ้านหลังนี้ถูกใช้เป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับ Abstract Arts และร้านอาหารสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยว [4]


ลำดับที่ 5 เป็นชุมชนหมู่บ้านริมทะเลที่ชื่อว่า Cinque Terre โดยตั้งอยู่แนวฝั่งทะเลประเทศอิตาลี คำว่า Cinque Terre แปลว่าแผ่นดินทั้ง 5 (Five Lands) (รูปที่ 5) ซึ่งประกอบไปด้วยหมู่บ้านต่างๆ 5 หมู่บ้าน ประกอบไปด้วย Monterosso al Mare, Vernazza, Corniglia, Manarola, และ Riomaggiore  โดยหมู่บ้านไม่มีถนนติดต่อโลกภายนอก การเดินทางต้องอาศัยเรือเพียงอย่างเดียว ระหว่างหมู่บ้านเชื่อมต่อกันด้วย ถนน รถไฟ และ เรือ เชื่อกันว่าสาเหตุของการมาตั้งรกรากของคนบนหน้าผาซึ่งการเดินทางติดต่อเป็นไปได้ด้วยความยากลำบากเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการเดินทางค้าขายในสมัยโบราณที่ใช้การเดินทางทางเรือเป็นหลัก ซึ่งหมู่บ้านรอบๆชายฝั่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพื่อใช้เป็นที่พักเรือ หรือ เป็นที่หลบภัยจากพายุหรือโจรสลัด [5]


ลำดับสุดท้ายเป็นรูปแบบของสิ่งปลูกสร้างที่เรียกว่า ชุมชนบนหน้าผา (Cliff Dwelling) ซึ่งเป็นรูปแบบของการสร้างสิ่งปลูกสร้างในถ้ำของหน้าผาที่ยื่นออกมา โดยถ้ำอาจจะเป็นถ้ำธรรมชาติหรือถ้ำที่ได้จากการขุดเข้าไปในหน้าผาก็ได้ พบมากในพื้นภูมิประเทศที่เป็นลักษณะเป็นแคนยอน (Canyon) โดยชุมชนบนหน้าผาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ ชื่อเรียกว่า Mesa Verde หรือ Cliff Palace ตั้งอยู่ในรัฐโคโลลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา (รูปที่ 6) ซึ่งก่อสร้างโดยชาวพื้นเมือง Anazari โดย Mesa Verde ความสูงเหนือระดับน้ำทะเลของ Mesa Verde อยู่ที่ประมาณ 1800 ถึง 2300 ม. ลักษณะของสิ่งปลูกสร้างภายในแบ่งเป็นห้องๆมีการใช้ผนังร่วมกัน รูปทรงของห้องจะไม่ชัดเจนแต่จะปรับไปตามสถาพของถ้ำ ผนังจะก่อสร้างด้วยหินทรายเชื่อมด้วยมอร์ต้า [6]


ตัวอย่างของงานก่อสร้างที่นำมาเสนอในบทความนี้เป็นเพียงส่วนน้อยของผลงานจากฝีมือการก่อสร้างอันสุดยอดของช่างในสมัยโบราณ ยังมีงานก่อสร้างอีกมากมายในโลกนี้ที่มีความสวยงามมหัศจรรย์เกินจินตนาการ ซึ่งการเกิดขึ้นและการยั่งยืนอยู่ของสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน แสดงให้เห็นถึงความมานะพยายามของมนุษย์ที่จะเอาชนะธรรมชาติและตอบสนองต่อความต้องการของตนเองจริงๆ
           
Photo References

  • http://www.mapofukraine.net/crimean_peninsula/swallows-nest-castle/image/swallow_nest_castle_black_sea.jpg
  • http://www.greektravelling.com/images/stories/attractions/northern-greece/meteora/meteora%20(1).jpg
  • http://www.amazingplacesonearth.com/wp-content/uploads/2013/03/Phuktal2.jpg
  • https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/9/95/Casacolgantecuenca.jpg
  • http://wikitravel.org/upload/en/9/9f/Cinque_Terre_2.JPG
  • https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/3/35/MesaVerdeNationalParkCliffPalace.jpg






No comments:

Post a Comment